วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

หตุการณ์ หลุมดำ กลืนกิน ดาว ที่ตรวจพบครั้งแรกของโลก (black hole swallowed a star)


ภาพที่เห็นนี้นับเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ของ วงการดาราศาสตร์ เมื่อมีการตรวจพบเหตุการณ์ ขณะที่ หลุมดำขนาดมหึมากำลังฉีกกินดวงดาว
ภาพที่เห็นจั่วหัวคือภาพเหตุการณ์ขณะที่หลุมดำกำลังกลืนกินดาว ที่วาดขึ้นโดยจิตรกร ซึ่งเหตุการณ์สุดยากยิ่งที่จะเกิดซักครั้งหนึ่ง เมื่อหลุมดำซึ่งเป็น 1 ในพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ได้บดขยี้ดวงดาวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วดูดกลืนหมุนวนเข้าสู่ศูนย์กลางของ หลุมดำ (แสงสีขาวที่มีลักษณะเป็นรูปวงเล็บปิดด้านขวามือ )
ส่วนสิ่งที่เห็นเป็น ธารสีขาว(เส้นตรง) นั้นคือ กระแสพลาสม่า(plasma) ที่ไหลทะลักออกจากกึ่งกลางของหลุมดำ ที่อยู่ห่างไกลจากโลกถึง 4 พันล้านปีแสง กระแสพลาสม่านี้เรียกว่า relativistic jets ที่อาจจะยาวได้ถึง 100 หรือ 1,000 ล้านปีแสงเลยก็ได้
โดยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2011 กล้อง Swift Telescope ได้ตรวจจับการระเบิดอย่างฉับพลันของรังสี จากกลุ่มดาว constellation Draco ลำแสงนี้เสมือนข้อความที่ส่งไปยังเหล่านักดาราศาสตร์ทั้งโลก ให้หันไปจับจ้องว่าขณะกำลังเกิดเหตุกาณ์อะไรขึ้น ใน จักรวาล ณ จุดนั้น
โดยปกติ การระเบิดของรังสีขนาดใหญ่ในจักรวาล จะเกิดขึ้นครั้งเดียว อันเป็นผลมาจากดวงดาวเกิดการระเบิดเป็นซุปเปอร์โนว่า(supernova)
แต่สำหรับเหตุกาณ์นี้ เกิดมีการระเบิดของรังสี ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในวันถัดไป ณ ตำแหน่งเดิมซึ่งมันเป็นเหตุกาณ์ที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
เมื่อทำการติดตามไปยังแหล่งของการระเบิดก็พบว่า ณ ตำแหน่งนั้นเป็นที่ตั้งของ หลุมดำ
นาย Ashley Zauderer ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์ ของ Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics จึงได้หลักฐานที่มีน้ำหนักในการสร้าง ทฤษฎี ว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดจาก การที่ดวงดาวที่มีขนาดเท่าดวงอาทิตย์ของเราโคจรเข้าไปไกลหลุมดำขนาดใหญ่ ที่มีแรงดึงดูดมหาศาล เป็นเหตุให้ส่วนที่อยู่ใกล้หลุมดำถูกดึงยึดเข้าสู่หลุมดำ เมื่อถึงมาถึงวาระสุดท้าย แรงดึงดูดจากฉีกดาวออกเป็นชิ้นๆ(ดาวแตกดับเกิดเป็นการระเบิดซุปเปอร์โนว่า การระเบิดครั้งที่ 1) ก่อตัวเป็นก้อนพลาสม่าไหลเข้าสู่หลุมดำ แต่ในขบวนการนี้ พลาสม่าบางส่วนจะถูกพ่นออกมาเป็น relativistic jets และ relativistic jets ที่ถูกพ่นออกมานี้เอง ที่กล้องตรวจจับได้เป็นการระเบิดครั้งที่ 2
เมื่อ หลุมดำกลืนกินดาวงดาวเข้าไป มันจะยิ่งทรงพลัง เนื่องจากดวงดาวได้เข้าไปเพื่มมวลของหลุมดำให้ยิ่งมากขึ้น(ยิ่งวัตถุยิ่งมีมวลมากเท่าไรจะยิ่งมีแรงดึงดูดมากขึ้นตามไปด้วย)
เหตุการณ์หลุมดำกลืนกิน ดวงดาว นั้นเกิดยากยิ่งคือมีโอกาสเกิดขึ้น 1 ครั้งในช่วงเวลา แสนล้านปี/ครั้งแกแล็คซี่





ข้อมูลอ้างอิง

http://www.latimes.com/news/science/la-sci-black-hole-20110825,0,7532003.story
http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2029731/relativistic-jets-Moment-super-massive-blackhole-shreds-star-caught-camera.html

นักวิทยาศาสตร์ เผย โลกเคยมีดวงจันทร์ 2 ดวง



ภาพจำลองขณะดวงจันทร์ดวงเล็กปะทะชนดวงจันทร์ดวงใหญ่


ภาพแสดงการค่อย ๆ ปะทะและหลอมรวมกันของดวงจันทร์

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เผยในอดีตโลกเคยมีดวงจันทร์บริวาร 2 ดวง ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ "Big Splat" ถูกดวงจันทร์ดวงปัจจุบันดูดเข้าไปรวมเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกัน

โดยทฤษฎีนี้ ถูกศึกษาและเปิดเผยโดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองซานตาครูส ระบุว่า เมื่อราว ๆ 4.4 พันล้านปีก่อน โลกของเราเคยมีดวงจันทร์เป็นบริวารถึง 2 ดวง คือ ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่เราเห็นในปัจจุบัน และดวงจันทร์ดวงเล็กอีกหนึ่งดวงที่โคจรรอบโลกในระยะห่างที่ไม่ไกลกันมากนัก แต่แล้วหลังจากผ่านไปอีกหลายล้านปี ดวงจันทร์ดวงเล็กที่มีขนาดเล็กกว่าก็ไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดของดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่า และน้ำหนักมากกว่า 25 เท่าได้ ดวงจันทร์ดวงเล็กจึงค่อย ๆ ถูกดูดเข้าหาดวงจันทร์ดวงใหญ่ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดดวงจันทร์ทั้งสองดวงก็ชนปะทะกันและค่อย ๆ หลอมรวมกลายเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกันในที่สุด แต่มีลักษณะบิดเบี้ยว แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายล้านปี การหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์ก็ค่อย ๆ ทำให้รูปทรงของดวงจันทร์กลายเป็นทรงกลมขึ้นมาอีกครั้ง ดังที่เห็นในปัจจุบัน โดยการดึงดูดและหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เรียกว่า ทฤษฎี "Big Splat"

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า โดยปกติแล้วคนบนโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวเท่านั้น เนื่องจากดวงจันทร์มีคาบการหมุนรอบตัวเองและคาบการหมุนรอบโลกที่เท่ากัน ทำให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก คือ ด้านใกล้เท่านั้น ส่วนด้านไกลนั้น คนบนโลกไม่สามารถมองเห็นได้เลย แต่หลังจากที่มีการส่งยานออกไปสำรวจภูมิประเทศของดวงจันทร์ ทำให้พบว่าด้านใกล้และด้านไกลของดวงจันทร์มีภูมิประเทศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยด้านไกลของดวงจันทร์ที่เรามองไม่เห็นนั้น จะมีลักษณะเป็นที่ราบสูง และมีเปลือกหุ้มที่หนาแน่นมาก ซึ่งบริเวณนี้ก็คือบริเวณที่ดวงจันทร์ดวงเล็กถูกดูดเข้ามานั่นเอง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก redicecreations.com, redicecreations.com


การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต


การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
(การปลูกถ่ายไขกระดูก)

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับไขกระดูก

ไขกระดูกเป็นส่วนที่อยู่ตรงกลางของกระดูก มีลักษณะเป็นของเหลว และเป็นแหล่งกำเนิดของเม็ดเลือดชนิดต่างๆ ในไขกระดูกจะมีเซลล์เม็ดเลือดจำนวนมากหลายชนิด เซลล์ต้นกำเนิด(stem cell) เป็นเซลล์ที่มีความสามารถในการแบ่งตัวเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด นอกจากนี้ เซลล์ต้นกำเนิดยังพบได้ในเลือดจากสายสะดือและในเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกาย

การปลูกถ่ายไขกระดูกแบ่งเป็น 2 แบบ
1. การปลูกถ่ายไขกระดูกโดยใช้ไขกระดูกของตนเอง (Autologous Bone Marrow Transplantation)ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งชนิดร้ายแรง หรือดื้อต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยวิธีนี้ หลักการของการรักษาคือ การให้ยาเคมีบำบัดในขนาดสูงแก่ผู้ป่วย แล้วตามด้วยการให้เซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งอาจนำมาจากไขกระดูกของผู้ป่วยเอง หรือในปัจจุบันเรามักจะเลือกใช้การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะได้รับยากระตุ้นให้เซลล์ต้นกำเนิดออกมาในกระแสโลหิตประมาณ 4 – 5 วัน หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำขนาดใหญ่ เพื่อนำเลือดของผู้ป่วยผ่านเข้าเครื่อง และแยกเอาเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิด และเม็ดเลือดขาวออกมา เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดก็จะคืนให้แก่ผู้ป่วย การนำเซลล์ต้นกำเนิดกลับให้ผู้ป่วยจะทำให้เม็ดเลือดของผู้ป่วยกลับคืนสู่ ปกติโดยเร็ว การรักษาด้วยวิธีนี้จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนหลังการได้รับยาเคมีบำบัดขนาดสูง เช่น การติดเชื้อ และการมีแผลในปาก
2. การปลูกถ่ายไขกระดูกโดยใช้ไข กระดูกของผู้อื่น (Allogeneic Bone Marrow Transplantation) เนื่องจากไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิดของผู้อื่นถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม ร่างกายจะต้องกำจัด ดังนั้นก่อนที่จะให้ไขกระดูกของผู้อื่น จึงต้องมีการเตรียมผู้ป่วยโดยการให้ยาเคมียำยัด การฉายแสงหรือ สองอย่างรวมกัน (preparative regimen) วิธีการนี้จะทำลายเซลล์ในไขกระดูกของผู้ป่วยและกดภาวะภูมิคุ้มกันด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกของผู้อื่น นอกจากนี้วิธีการนี้ยังทำลายเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่ก่อนทำการปลูกถ่ายไข กระดูก ในผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับไขกระดูกจากผู้รับบริจาคโดยทั่วไปสิ่งที่จะบอกว่าผู้ป่วยยอมรับเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค และเซลล์ต้นกำเนิดของผู้บริจาคเริ่มทำงานได้เต็มที่ คือการที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล(neutrophil) เพิ่มขึ้นเกิน 500 ไมโครลิตร เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน เราเรียกว่าผู้ป่วยยอมรับเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค (engraftment) หลังจากนั้นเซลล์ต้นกำเนิดจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดที่สมบูรณ์แข็งแรง ต่อไป ผู้ป่วยอาจต้องได้รับเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดเสริมต่อไปอีกระยะจนกระทั่งเซลล์ต้นกำเนิดของผู้บริจาคทำงาน ได้เต็มที่ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะค่อยๆกลับคืนสู่สภาวะปกติ ซึ่งอาจใช้เวลา 6 เดือน – 1 ปี หลังจากการปลูกถ่ายไขกระดูก

Credit : http://www.facebook.com/note.php?note_id=130482980305635

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตู้เย็นคนยาก ประหยัดด้วยหลักฟิสิกส์


Mohammed Bah Abba คุณครูสอนวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งในไนจีเรีย แอฟริกาได้รับรางวัลนวัตกรรมโลว์เทค จากโรเล็กซ์ จากผลงาน pot-in-pot ในที่นี้ขอเรียกว่าตู้เย็นคนยาก สาเหตุมาจากการที่นักเรียนขาดเรียนบ่อยๆ เพื่อไปช่วยพ่อแม่ขายผลิตผลจากพืชในตลาดให้ทัน ก่อนที่ผลไม้สุกที่ตัดแล้ว จะเน่าเสียตามสภาพภูมิอากาศร้อน

ตู้เย็นของคุณครูทำจากตุ่มดินเผาสองใบ ใบใหญ่ใส่ทรายรองก้น วางตุ่มใบเล็กลงไปในใบใหญ่ ใส่ทรายในช่องว่างระหว่างตุ่มสองใบ จากนั้นเทน้ำลงไปในทรายให้ทรายชุ่มน้ำ แล้วนำผ้าชุบน้ำมาปิดฝาตุ่ม ก็จะได้ตู้เย็นคนยาก สามารถเก็บผักผลไม้ได้นานกว่าเดิม ด้วยการเก็บลงไปในตุ่มใบเล็ก ซึ่งสามารถเก็บได้นานกว่า 4 สัปดาห์

จาก การที่ทรายทำหน้าที่เก็บความเย็นให้ตุ่มใบเล็ก และเก็บน้ำให้ตุ่มใบใหญ่ เมื่อน้ำระเหยออกจากผิวของตุ่มใบใหญ่ จะนำพาความร้อนออกไป และทำให้อุณหภูมิของตุ่มใบเล็กเย็นระดับน้องๆ ตู้เย็นเลยทีเดียว ใช้หลักฟิสิกส์เรื่องความร้อนแฝงของการเปลี่ยนเฟสจากของเหลวเป็นไอ ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม

ที่มา : เรื่อง ตู้เย็นคนยาก โดย ดร. พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ หนังสือ วิทยาศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์ สามารถชุบชีวิตได้แล้ว


ตายแล้วไม่ต้องไปไหน...เดี๋ยวก็ได้ฟื้นมาใหม่ เมื่อนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ สามารถชุบชีวิต "หมาน้อย" ที่ขาดใจไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์จนเป็นผล สำเร็จ คาดปีหน้าได้ทดลองใช้กับคน

นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์การวิจัย กู้ชีพซาฟาร์ แห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh's Safar Centre for Resuscitation Research) สหรัฐฯ ได้พัฒนาเทคนิคการถ่ายเลือดและเติมสารละลายน้ำเกลือที่เป็นน้ำแข็งและเย็นยะ เยือกลงไปในเส้นเลือดดำ เพื่อรักษาสภาพและฟื้นชีวิตที่ตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนมาใหม่ได้เป็นผล สำเร็จ

การชุบชีวิตครั้งแรกได้ทดสอบกับ "สุนัข" จำนวนหนึ่งซึ่งตายแล้วตามนิยามทางการแพทย์ คือหยุดหายใจและหัวใจไม่เต้นหรือไม่มีกิจกรรมใดๆ เกิดขึ้นในสมอง แต่ว่าอีก 3 ชั่วโมงต่อมาเลือดของหมาที่สิ้นใจก็ถูกแทนที่ด้วยน้ำเกลือ และบรรดาหมาๆ ก็ฟื้นคืนชีพมาเป็น "หมาซอมบี้" หลังจากถูกช็อตด้วยไฟฟ้า

ระหว่าง กระบวนการแทนที่เลือดด้วยน้ำเกลือ ณ อุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์องศา อุณหภูมิร่างกายของสุนัขจะตกลงมาเหลือแค่เพียง 7 องศาเซลเซียส จากอุณหภูมิร่างกายปกติ 37 องศา รวมถึงมีภาวะตัวเย็นเกินก่อนตาย และแม้ว่าหมาน้อยเหล่านี้จะตายแล้วในทางการแพทย์แต่เนื้อเยื่อและอวัยวะ ต่างๆ ยังอยู่ในสภาพดี

เส้นเลือดต่างๆ และเนื้อเยื่อที่เสียหายสามารถซ่อมแซมได้ด้วยการศัลยกรรม เหล่าน้องหมามีชีวิตกลับมาอีกรอบหนึ่ง เพราะเลือดกลับคืนสู่ร่างกาย และได้ออกซิเจนเต็มที่ 100% แถมยังมีการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าประหนึ่งเหมือนการรีสตาร์ทการทำงานของ หัวใจอีกครั้ง อีกทั้งเมื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของ "หมาซอมบี้" แล้วก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างปกติ และไม่มีสมองส่วนใดถูกทำลาย

ด้วย ความหวังว่าแทนที่จะปล่อยให้คนป่วยหลับไปเป็นปีๆ หรือตายจากไป การส่งให้พวกเขากลับมามีชีวิตอยู่นั้นนับเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่มี ประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง โดยนักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้ผู้ป่วยกลับฟื้นชีวิตได้ อย่างน้อยเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็มากพอสำหรับการรักษาชีวิตผู้บาดเจ็บจากสงคราม หรือเหยื่อที่ถูกแทง ถูกยิง เพราะพวกเขาจะเจ็บปวดและขาดใจจากการเสียเลือดมาก

ผลที่ได้ทำ ให้ทางศูนย์มีแผนจะนำเทคนิคนี้ไปทดสอบใช้ในมนุษย์ภายในปีหน้า อีกทั้งเชื่อว่าภายใน 10 ปีจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ขัดขวาง "การตาย" ของมนุษย์ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิรบ

ปล. จะชุบชีวิตอะไรยังไงต้องดูจากสภาพศพด้วยนะเออ

แก้ปัญหาโลกแตกได้แล้ว


นักวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาโลกแตกได้แล้ว ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?

เคย นึกไหมว่าไก่กับไขอะไรเกิดก่อนกัน พอคิดไปคิดมาก็ได้คำตอบวนๆถ้าไก่ไม่เกิดก่อนก็จะไม่มีไข่ แต่ถ้าไม่มีไข่ไก่ก็จะเกิดมาไม่ได้ แต่วันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คำตอบนั้นแล้ว
Dr. Colin Freeman จาก Sheffield University ได้ทำการวิจัยอย่างหนักกับนักศึกษา Warwick University เพื่อหาคำตอบผลปรากฎว่า

"นานแล้วที่เราคาดว่าไข่น่าจะมาก่อนไก่แต่บัดนี้เราได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อล้วว่าไก่นั้นมาก่อน" เขากล่าวข้อ พิสูจน์นี้พิสูจน์ได้จากสารโปรตีนชนิดหนึ่งนั้นคือ Ovocledidin-17 (OC-17) ที่พบได้ในรังไขของไก่ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบการผลิตเปลือกของไข่นั้นเอง

OC-17จะ เปลี่ยนแคลเซียมคาร์บอนเน็ตให้เป็นแคลไซต์คริสตอลซึ่งจะเปลี่ยนเป็นไข่ในภาย หลัง ซึ่งหากไม่มี OC-17 ก็จะไม่มีไข่ ซึ่งOC-17 จะมาจากรังไข่ของไก่เท่านั้น แปลว่า ไก่ต้องเกิดก่อนไข่

วิทยาศาสตร์กับการบินและนักบินรู้เส้นทางได้อย่างไร


เครื่องบินเป็นพาหนะที่ใช้เดินทางทางอากาศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และช่วยย่นระยะทางในการเดินทางติดต่อไปมาระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่ถ้าย้อนกลับไปถามคำถามที่ว่าเพราะเหตูใดเครื่องบินถึงบินได้ และนักบินทราบเส้นทางการบินได้อย่างไร คิดว่าทุกคนคงอยากจะทราบคำตอบของคำถามที่ถามเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด คุณจีรศักดิ์ นาคสีรุ่ง ผู้จัดการฝ่ายการฝึกบิน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด กล่าวว่า การลอยตัวของเครื่องบินนั้นสามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้
ทฤษฏีที่1 ความเร็วบริเวณเหนือปีกด้านบน โดยทดลองนำกระดาษทิชชูมาเป่า ผลที่เกิดขึ้นคือ กระดาษทิชชูจะลอยขึ้น เพราะด้านบนมีแรงดันน้อยกว่าแรงดันด้านล่างจึงทำให้กระดาษทิชชูลอยขึ้นมา สาเหตุที่อากาศด้านบนเบากว่าเนื่องจากมีความเร็วของอากาศด้านบนมากกว่าความ
เร็วของอากาศด้านล่าง ซึ่งถูกนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องของการบิน
ทฤษฏีที่2 คือการเปิดมุมปะทะของปีกเครื่องบิน โดยทดลองยื่นมือออกนอกรถในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็ว เราจะมีความรู้เกิดแรงยกของอากาศจะยกฝ่ามือเราให้ยกตัวสูงขึ้น
ทฤษฏีที่3 คือเกิดจากแรงขับของเครื่องบินโดยตรง เช่น ในการปล่อยจรวดต้องใช้แรงขับจากจรวดโดยตรง และในกรณีของการปล่อยบอลลูน เนื่องจากอากาศที่อยู่ในบอลลูนเบากว่าอากาศที่อยู่นอกบอลลูนจึงทำให้เกิดแรง ยกบอลลูนขึ้น
ส่วนคำถามที่ว่านักบินทราบเส้นทางการบินได้อย่างไรนั้น คุณจีรศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้าจะเดินทางไปเชียงใหม่นักบินจะต้องรู้ว่าเชียงใหม่อยู่ทางทิศใดของประเทศ ไทย เพราะฉะนั้นการเดินทางไปเชียงใหม่นักบินจะต้องควบคุมเครื่องบินไปด้านทิศ เหนือคล้อยไปทางด้านทิศตะวันตก
เล็กน้อย นี่คือหลักเบื้อนต้น สำหรับเครื่องมือสมัยใหม่จะใช้เส้นทางการบินที่เป็นเส้นตรงเพื่อย่นระยะเวลา ในการเดินทาง และได้ระยะทางที่สั้นที่สุด ในแผนที่การบินจะระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่านักบินจะต้องถือทิศทางที่เท่าไร เช่น ถือทิศทาง 342 องศาเพื่อจะได้เดินทางไปเชียงใหม่เป็นเส้นตรง ซึ่งทิศทางในการบินจะใช้เข็มทิศเป็นหลัก แต่ก็ยังอาจจะไม่ถูกต้องเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงมีการคิดค้นเครื่องมือสำหรับช่วยในการเดินทาง ทางอากาศขึ้นมา เปรียบได้กับสถานีวิทยุและจะกำหนดคลื่นความถี่ซึ่งเป็นความถี่ที่ตั้งไว้ เรียบร้อยแล้ว เช่น ตั้งความถี่ไว้ที่ จ.เชี่ยงใหม่ นักบินก็บินให้ตรงกับหัวเข็มทิศ ซึ่งจะทำให้สามารถทราบระยะทางในการบินได้และรับประกันได้ว่าการเดินทางไป เชียงใหม่นั้นถูกต้องแม่นยำแน่นอน
TIPS
สมัย รัชกาลที่ 7 ถือเป็นยุคหนึ่งที่การบินของไทยพัฒนาไปได้มากที่สุด เพราะในขณะนั้น ไทยเป็นชาติแรกในเอเชียที่สามารถสร้างเครื่องบินและสามารถทำการบินได้ และในช่วงสงครามโลก ครั้งที่หนึ่ง ไทยก็มีกองกำลังเครื่องบินรบ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีเพียงแค่เหล่าทหารราบ
ทหารปืนใหญ๋ และทหารม้าเท่านั้น ทำให้ต่างชาติเห็นว่าเราเป็นผู้เจริญไม่กล้าเข้ามารุกราน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)

Credit : http://campus.sanook.com

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ใครไม่เคยเห็น "ตด" มาดู !!


ใครไม่เคยเห็นตดมาดู - ดูคลิปทั้งหมด คลิกที่นี่

นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนา"สามเหลี่ยมผีสิง"เบอร์มิวด้า"ได้แล้ว




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 10 ส.ค.ว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถวิจัยค้นพบปริศนาลึกลับดำมืดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ที่สร้างปรากฎการณ์ดูดกลืนเรือและเครื่องบินที่บินผ่านบริเวณดังกล่าวจนหายสาบสูญ และถูกกล่าวขานเรียกว่าเป็น"สามเหลี่ยมผีสิง ที่ร่ำลือกันว่า ได้ดูดกลืนสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทะลุไปยังอีกมิติหนึ่ง"โดยพบว่า สาเหตุแท้จริงมาจากการการก่อตัวของก๊าซธรรมชาติ ที่ใหญ่ขนาดเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ และทำให้เรือและเครื่องบินสูญเสียการควบคุม ก่อนจมดิ่งสู่สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า

รายงานระบุว่า จากการค้นพบของศจ.โจเซฟ โมนาแกน หนึ่งในสองผู้วิจัยงานศึกษาไขปริศนาดังกล่าว ระบุว่า เขาพบว่า บริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ปรากฎว่ามีก๊าซมีเธนเป็นจำนวนมาก ขนาดปะทุเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ลอยเหนือบริเวณดังกล่าว ก๊าซดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า โดยเมื่อก๊าซเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองก๊าซขนาดยักษ์ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองก๊าซมีเธนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงสู่ห้วงทะเล

และหากฟองก๊าซดังกล่าวมีขนาดยักษ์มาก ๆ ที่สามารถครอบคลุมความหนาแน่นระดับสูงบนผืนฟ้าเพียงพอ มันก็จะทำให้เครื่องบินที่บินอยู่บนน่านฟ้าเหนือสามเหลี่ยมฯ สูญเสียการควบคุม ตกทะเลและจมลงสู่ท้องทะเลอย่างรวดเร็ว

Credit : http://www.siamsouth.com

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสิ่งมีชีวิตคล้ายกระสือ


Sea cucumber ปลิงทะเล คือ สัตว์ประหลาดตัวนี้ ซึ่งรูปร่างมันช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ ผีกระสือของไทยเราเสียเหลือเกิน ที่มีแต่หัว กับ ไส้

รายละเอียดเกี่ยวกับ ปลิงกระสือ ตัวนี้
ปลิงทะเลตัวนี้มี ชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Enypniastes
ต่อไปนี้จะขอเรียก ปลิงตัวนี้ว่า ปลิงกระสือ
ลักษณะร่างกาย มีลำตัวโปร่งใส สีชมพู มีหนวดสั้นๆ
ปลิงกระสือ พึ่งถูกค้นพบเมื่อเร็วๆนี้ ที่ อ่าวเม็กซิโก (Gulf of Mexico) ที่ระดับน้ำลึก 2.74 กิโลเมตร
บริเวณผิวหนังของพวกมันมี เซลเรืองแสงที่ใช้ป้องกัน การถูกล่า จากนักล่า
พวมมันเป็นปลิงทะเล จำนวนไม่กี่สายพันธุ์ที่ใช้การว่ายน้ำเพื่อเคลื่อนที่ แทนการคลานอยู่บนพื้นมหาสมุทร
พวมมันอาศัยอยู่ที่ระดับความสูงจากท้องมหาสมุทรถึง 30 เมตร
ปลิงกระสือใช้าการ หุบ และ อ้า หนวดบริเวณส่วนหัวไปมาในการว่ายน้ำ
ข้อมูลอ้างอิง ปลิงกระสือ

http://news.discovery.com/animals/sea-cucumber-deep-ocean.html
http://www.whoi.edu/page.do?pid=10897&i=2645&x=194

20 เรื่องเหลือเชื่อทางวิทยาศาสตร์

1. เส้นเลือดในร่างกายมนุษย์มีความยาวรวม 62,000 ไมล์ ถ้านำมันมาเรียงต่อกันเป็นทางยาวจะได้ความยาว ถึง 2.5 เท่าของเส้นรอบวงโลก

2. The Great Barrier Reef แนวปะการังที่ยาวทีสุดในโลกที่ออสเตรเลีย เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวกว่า 2000 กิโลเมตร

3. โอกาสที่โลกจะถูกโจมตีด้วยอุกาบาตขนาดใหญ่ อยู่ที่ 9300 ปีต่อครั้ง

4. ดาวนิวตรอนขนาดเท่าหัวแม่มือมีน้ำหนักกว่า 100 ล้านตัน

5. พายุเฮอริเคนหนึ่งลูกผลิตพลังงานเท่ากับระเบิดขนาด 1 เมกะตันจำนวน 8000 ลูก

6. คาดว่ามีพยาธิปากขอ ซึ่งดูดเลือดเป็นอาหารอยู่ในร่างกายมนุษย์โลกเรา 700 ล้านคน

7. Fred Rompelberg คือผู้ขี่จักรยานด้วยความเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ ว 166.94 ไมล์ต่อชั่วโมง

8. มนุษย์เราสามารถคิดค้นแสงเลเซอร์ที่มีความสว่างกว่าแ สงอาทิตย์ 1 ล้านเท่า

9. 65% ของผู้ป่วยออทิสติคส์ เป็นคนถนัดซ้าย

10. Finnish pine tree (ต้นสนชนิดหนึ่งในฟินแลนด์) มีความยาวของรากแต่ละต้นรวมแล้วกว่า 30 ไมล์

11. จำนวนเกลือที่อยู่ในน้ำทะเลทั่วโลกเรา สามารถปกคลุมพื้นผิวทวีปทั่วโลกได้หนากว่า 500 ฟุต

12. กลุ่มแก๊สระหว่างหมู่ดาวในราศีธนู มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์นับหมื่นล้านล้านลิตร

13. หมีขั้วโลกสามารถวิ่งด้วยความเร็ว 25 ไมล์ต่อชัวโมง และกระโดดได้สูงกว่า 6 ฟุต

14. มนุษย์และปลาโลมาสืบสายพันธ์เดียวกันมาตั้งแต่ 60 - 65 ล้านปีก่อน

15. กล้อง infared จับภาพหมีขั้วโลกได้ยากมาก เนื่องจากคุณสมบัติของขนของมัน

16. เฉลี่ยแล้วในหนึ่งปี คนเราจะกินสัตว์จำพวกเห็บลิ้นไร โดยไม่ได้ตั้งใจไป 430 ตัวต่อคนต่อปี

17. รากของต้น Rye(ข้าวชนิดหนึ่งใช้หมักสุรา) สามารถแผ่ขยายไปได้ถึง 400 ไมล์

18. อุณหภูมิบนพื้นผิวของดาวพุธสูงกว่า 430 องศาเซลเซียสในเวลากลางวัน แต่ลดลงต่ำกว่า ติดลบ 180 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน

19. ภายใน 24 ชั่วโมง ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ขับน้ำ(ในรูปของไอน้ำ)ออกมา 10 - 25 แกลลอน

20. ผีเสื้อรับรู้รสด้วยขาหลัง โดยประสาทการรับรู้ทำงานโดยการสัมผัส ทำให้รู้ว่าใบไม้และดอกไม้ที่มันสัมผัส มีรสชาติอย่างไรและกินได้หรือไม่

http://news.clipmass.com/story/เรื่องเหลือเชื่อทางวิทยาศาสตร์---3234

ผี ในความหมายทางวิทยาศาสตร์


นิยามของคำว่าผี

1. ผีอยู่ภายใต้กฏของฟิสิกส์
2. ผีไม่ใช่เรื่องมายากล ไม่ใช่ปาฎิหาริย์ และไม่ใช้เรื่องนอกเหนือกฎธรรมชาติข้อใด ๆ ทั้งสิ้น (ตามที่สันนิษฐานไว้ในข้อ 1.)
3. ผี (Ghost), การหลอกหลอน (poltergeist), วิญญาณ (Soul) ล้วนเกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียวกัน แต่เป็นปรากฏการณ์ในรูปแบบต่างกัน
4. ผี (จากกฎข้อ 1 แล้ว) นับเป็น "สิ่งที่มีตัวตน" ควรจะมีคุณลักษณะคล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผีตามความเชื่อของชนชาติใด ๆ ก็ตาม
5. ในการปรากฏกายของผีโดยเฉลี่ยแล้ว "ร่าง" ของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัม

มาตรฐานการพบเห็นผี (Standard Night time Ghost : SNG)

- กรณีแรก เกิดขึ้นโดยตรงกับสมองของผู้ประสบเหตุ อาจเกิดจากการรบกวนกระบวนการไฟฟ้าชีวเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบรับความรู้สึกเกิดความผิดเพี้ยน โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง (หรืออาจจะเรียกว่า"ประสาทหลอน" ก็ว่าได้) หรือไม่ก็เกิดจากการกระตุ้นให้สมองเกิดภาพหลอนขึ้นเอง โดยสิ่งเร้าภายนอก โดยอาจใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีขนาดพอเหมาะยิงตรงไปยังสมองก็เป็นได้ หรือเกิดการควบคุมสภาวะแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งมีผลกระทบต่อจิตใจและอารมณ์ความรู้สึก (ซึ่งเรียกว่า "ถูกควบคุมหรือถูกทำให้เกิดประสาทหลอน") ซึ่งกรณีนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าผีไม่มีจริงในโลก

- กรณีที่สอง ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าผีมีจริง ซึ่งหากไม่ใช่กรณีแบบสมมติฐานแรก สามารถแบ่งการปรากฏของผีได้ 7 ข้อ ดังนี้

1. ผีปรากฏตัวทั้งในเวลากลางคืนและกลางวันในเวลากลางวันมีการพบเห็นน้อยการปรากฏตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานไม่แน่นอน
2. ผีสามารถเปล่งแสงสว่างหรือเรืองแสงในตัวเองได้ โดยต้องมีกำลังส่องสว่าง อยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน จึงจะทำให้สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้
3. การปรากฏตัวของผีจะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจากผีต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลส์เข้าไปสะสมทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้
4. การปรากฏกายของผีต้องมีเครื่องนุ่งห่มด้วย และมักปรากฏในลักษณะเป็นภาพราง ๆ โปร่งแสงมองทะลุได้บ้าง และมีขนาดเล็กกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไป
5. ผีจะปรากฏในสภาพที่หันหน้าเข้าหาผู้พบเห็นบ่อยครั้งกว่าหันหลัง
6. ผีมักปรากฏตัวในร่างของมนุษย์หรือเหมือนมนุษย์ (ประมาณ 90 เปอร์เซนต์เท่าที่มีการศึกษา) มีน้อยมากที่ปรากฏตัวในร่างของสัตว์
7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของผีในแต่ละครั้งและหากไม่เข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งใน 7 ข้อนี้ ไม่นับว่าเป็นผี

ผีในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ไทย

อย่างไรก็ตาม ผีในทัศนะของนักวิทยาศาสตร์ไทยเช่น ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน กล่าวว่า ผีมีจริงและแพ้คลื่นโทรศัพท์มือถือ โดยกล่าวอ้างถึงการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษว่าผีเป็นพลังงานในลักษณะที่คล้ายพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันนี้การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ผีซึ่งเป็นพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคลื่นสั้นปรากฏตัวน้อยลง เพราะไหลไปรวมในบริเวณที่ ๆ มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าน้อย สอดคล้องกับความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ไทยอีกคน คือ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล ว่า ผีเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง แต่การที่ใช้โทรศัพท์มากขึ้นนั้นไม่ถือว่าเป็นการไล่ผี แต่เป็นการถ่ายเทคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปยังอีกจุดหนึ่งมากกว่า และในทางกลับกันการใช้มือถือซึ่งมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาก อาจทำให้เห็นภาพต่าง ๆมากขึ้น ซึ่งไม่คิดว่า เป็นผีเพราะมนุษย์มีความรู้ในการพิจารณา การถ่ายภาพหรือ
วิดีโอแล้วมีภาพหรือเงาที่อธิบายไม่ได้ปรากฏนั้น ในอนาคตก็จะเห็นมากขึ้น เพราะวิทยาการล้ำหน้า เครื่องถ่ายภาพสามารถจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้มาก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วิทยาศาสตร์ กับ แฮรี่ พอตเตอร์


แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นเรื่องราวการผจญภัยของพ่อมดน้อย โดยที่ในตอนแรก(และฉบับภาพยนตร์)ก็กล่าวถึงช่วงเวลาที่แฮร์รี่ พอตเตอร์เข้าสู่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ เพื่อเรียนเวทมนตร์และศาสตร์อื่นๆ

ผู้คนจำนวนไม่น้อยในยุคนี้อันเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเฟื่องฟูก็มักจะนึกไปเอง โดยอัตโนมัติว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้และงมงาย ในขณะที่อีกหลายคนก็อยากจะจัดให้แฮร์รี่ พอตเตอร์อยู่ในหมวดของนิยายวิทยาศาสตร์แนวแฟนตาซีด้วยซ้ำไป จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่หากเราจะลองใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ ในปัจจุบันมาอธิบายเรื่องราวต่างๆ ในหนังสือและภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว

มารู้จักกับอีกแง่มุมหนึ่งของแฮร์รี่ พอตเตอร์ แง่มุมที่คนพูดถึงกันน้อยมากนั่นก็คือ เราจะมาวิเคราะห์เกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ในแง่มุมทาง วิทยาศาสตร์ กัน

ชานชาลาหมายเลขเก้าเศษสามส่วนสี่
เด็กนักเรียนทุกคนที่จะเดินทางมาที่โรงเรียนสอนพ่อมดและแม่มดฮอกวอตส์ จะต้องมาจับรถไฟขบวนพิเศษที่ชื่อ รถด่วนฮอกวอตส์ ที่สถานีคิงส์ครอสซึ่งก็ไม่น่าจะประหลาดอะไร แต่ปัญหาที่เด็กๆ แต่ละคนต้องไขให้ได้ก็คือ ชานชาลาที่รถด่วนขบวนดังกล่าวจะจอดซึ่งมีหมายเลข เก้าเศษสามส่วนสี่ นั้นอยู่ที่ใดกันเแน่!

ในโลกแห่งความเป็นจริงมีชานชาลาลับที่เปิดแบบผลุบๆ โผล่ๆ ด้วยวิธีการเฉพาะแบบชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่บ้างหรือไม่? คำตอบคือ มี แถมบางอันยังใช้งานอยู่ด้วยซ้ำไป

หนังสือชื่อ Londons Disused Underground Stations ของเจ. อี. คอนเนอร์ ระบุว่า ครั้งหนึ่งเคยมีชาน-ชาลาที่เคลื่อนที่ได้อยู่ที่สถานีวู้ดเลนที่ขณะนี้เลิกใช้งานไปแล้ว ชานชาลาพิเศษที่ว่านี้มีขนาดยาว 12 เมตรและกว้าง 2 เมตร สามารถเปิดปิดได้บ่อยถึง 120 ครั้งในแต่ละวัน ชานชาลาที่ว่านี้ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อรองรับขบวนรถไฟที่ยาวเจ็ดตู้ที่ จะเข้าจอดที่ชานชาลาหมายเลข 1 และเมื่อรถไฟออกไปแล้ว ชานชาลาดังกล่าวก็จะหมุนเก็บหายไปได้ผ่านการบังคับด้วยอุปกรณ์ในกล่องบังคับพิเศษ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชานชาลาที่ว่าก็อาจจะนับได้ว่าเป็นชานชาลาที่หนึ่งเศษสามส่วนสี่ ก็ได้กระมัง!

เสกของให้บินได้
วิชาหนึ่งที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ต้องเรียนในปีแรกที่ฮอกวอตส์ก็คือ วิชาเสกของให้บินได้ โดยการท่องคาถา วิงการ์เดียม เลวีโอซ่า

ในโลกแห่งความเป็นจริง คนที่ได้มีโอกาสอยู่ที่ห้องทดลองที่มหาวิทยาลัยนิจเมเจนในฮอลแลนด์เมื่อสี่ปีก่อน ก็คงจะตื่นเต้นไม่แพ้กันสักเท่าไหร่ เพราะนักวิทยาศาสตร์ที่นั่นได้ทำการทดลอง เสกกบให้ลอยได้ ด้วยสนามแม่เหล็กเป็นครั้งแรกของโลก


หลักการที่นักฟิสิกส์ใช้ก็คือ ความจริงที่ว่าไม่เพียงแต่โลหะเท่านั้นที่ตอบสนองต่อสนามแม่เหล็ก สสารแทบจะทุกอย่างก็ตอบสนองต่อสนามแม่เหล็กเช่นกันไม่เว้นแม้แต่น้ำ (แม้ว่าจะตอบสนองน้อยมากเหลือเกิน) อย่างเช่น การจะยกกบสักตัวให้ลอยตัวได้ก็ต้องใช้สนาม แม่เหล็กที่มีขนาดแรงกว่าแม่เหล็กของตู้เย็นราว 200 เท่าเป็นอย่างน้อย เพื่อสร้างภาวะที่เรียกว่า ไดอะแมกเนติซึม (diamagnetism) อันเป็นสภาวะคล้ายคลึงกับสภาวะไร้น้ำหนักที่เกิดกับนักบินอวกาศนั่นเอง

ไม้กวาดเหาะได้
ไม้กวาดนิมบัส 2000 ที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ใช้ขี่เล่นควิดดิชนั้นสามารถลอยตัวในอากาศ แล่นขึ้นลงในแนวดิ่ง ปักหัวโฉบลงมาอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่บินถอยหลังก็ยังได้ผ่านการบังคับด้วยการสัมผัสเพียงเบาๆ เท่านั้น

เมื่อพิจารณาดูคุณลักษณะต่างๆ ของไม้กวาดนิมบัส 2000 แล้วก็ชวนให้นึกถึงเครื่องบินไอพ่นซีแฮริเออร์หรือเรียกย่อๆ ว่าแฮริเออร์(คล้ายชื่อของแฮร์รี่) เครื่องบินดังกล่าวสามารถขึ้นลงได้ในแนวดิ่งด้วยระบบไอพ่น นอกจากนี้ยังสามารถลอยตัวอยู่กับที่ บินโฉบลงมาในแบบที่เครื่องบินทั่วไปไม่สามารถจะทำได้ และ สามารถแม้แต่บินถอยหลังก็ได้!

ยาสมานกระดูกสเคเล-โกร
ควิดดิช กีฬายอดฮิตอันดับหนึ่งของเหล่าพ่อมดแม่มด ควิดดิชอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุต่อผู้เล่นได้ง่ายมากโดยเฉพาะกรณีของ กระดูกหักที่เกิดขึ้นได้บ่อยกว่าอุบัติเหตุอย่างอื่น และเราก็ได้รู้จากเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับซ่อมแซมกระดูกที่หักหรือสร้างกระดูกใหม่ ของเหล่านักกีฬาควิดดิชก็คือ ยาปลูกกระดูกสเคเล-โกร หนึ่งถ้วยเท่านั้น)

ในปัจจุบัน สิ่งที่เทียบเคียงได้ใกล้สเคเล-โกรมากที่สุดน่าจะได้แก่ สารไบโอแอกทีฟชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่คล้ายกระดูกเทียม เมื่อผ่าตัดใส่วัสดุดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย มันจะทำหน้าที่เป็นโครงสำหรับให้เซลล์กระดูกยึดเกาะและ จะสลายตัวไปเองภายในเวลาสองสามเดือน

ธนาคารกริงกอตส์
ระบบรักษาความปลอดภัยที่ธนาคารกริงกอตส์นอกจากจะใช้เวทมนตร์แล้วห้องนิรภัย ของธนาคารยังได้รับการออกแบบให้เปิดปิดได้ด้วยนิ้วยาวๆ ของพวก ก๊อบลิน เท่านั้นอีกต่างหาก

อันที่จริงเทคโนโลยีการจำแนกแยกแยะบุคคลเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่มีความเติบโตรวดเร็วมาก การตรวจสอบดังกล่าวมีได้หลายวิธีการ และจำนวนวิธีการก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ที่สนามบินฮีทโทรว์ของอังกฤษก็เริ่มนำระบบตรวจสอบม่านตามาใช้ในปีนี้เอง นอกจากใช้วิธีวัดลักษณะต่างๆ กันทางกายภาพ นักวิทยาศาสตร์บางคนยังได้มีความพยายาม ที่จะคิดค้นวิธีจำแนกบุคคลด้วยลักษณะทางชีวภาพอย่าง กลิ่นตัว อีกด้วย

วิชาปรุงยากับต้นไม้ประหลาด
ผลจากการร่ำเรียนวิชาปรุงยากับต้นไม้ประหลาดทำให้ เฮอร์ไมโอนี่แม่มดสาวน้อยได้มีโอกาสช่วยชีวิตของแฮร์รี่ พอตเตอร์และเพื่อนอีกคนที่ชื่อรอน ในตอนที่ทั้งสามคนโดน ต้นกับดักมาร ที่มีลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อยเล่นงานในตอนท้ายเรื่อง(ของเล่มแรก)

ในโลกจริง จะว่ามีต้นไม้คล้ายๆ ต้นกับดักมารก็ไม่เชิงทีเดียว เพราะว่าต้นสเตรนเกลอร์ฟิก มีเหยื่อของมันเป็นพืชด้วยกันเอง มันเติบโตบนต้นไม้อื่นคล้ายพืชจำพวกกาฝาก โดยจะเติบโตและแผ่กิ่งก้านยืดยาวลงสู่ดินเพื่อสร้าง ราก ของมันเอง ในขณะเดียวกันมันก็จะห่อหุ้มและบีบรัดต้นไม้ที่เป็นเจ้าบ้านเดิมพร้อมกันกับไปกับแย่งชิง ความชื้นกับสารอาหารต่างๆ ผลก็คือ ต้นไม้เจ้าบ้านเดิมก็ตาย

ผ้าคลุมล่องหน
ของขวัญวันคริสต์มาสอันน่าประหลาดใจที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ได้รับ และในที่สุดก็ได้กลายเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญสำหรับการผจญภัยของเขาก็คือ ผ้าคลุมล่องหน ที่เคยเป็นของคุณพ่อของเขามาก่อน

ขณะนี้ทางกองทัพสหรัฐฯมีโปรแกรมเกี่ยวกับการสร้างทหารล่องหน โดยที่โครงการดังกล่าวกำลังศึกษาการนำเส้นใยพิเศษที่มีสารเคมีที่สามารถเปลี่ยนแปลงสีได้เมื่อได้รับ กระแสไฟฟ้าปริมาณที่เหมาะสม ด้วยหลักการดังกล่าวเส้นใยก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนกับจอ LCD ชนิดหนึ่ง ซึ่งหากเชื่อมต่อกับตัวตรวจจับสัญญาณที่เหมาะสมที่สามารถตรวจจับรูปแบบ ของสีในสิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นได้ เราก็อาจจะได้ชุดทหารล่องหนที่สามารถพรางสีให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ตลอดเวลา

แผนที่ตัวกวน
แผนที่ตัวกวนนอกจากจะช่วยให้แฮร์รี่ พอตเตอร์รู้รายละเอียดของตำแหน่งแห่งหนในโรงเรียนฮอกวอตส์แล้ว ยังช่วยให้ เขาสามารถระบุตำแหน่ง ของใครก็ตามที่อยู่ภายในบริเวณปราสาทและรอบๆ โดยดูจากตำแหน่งของหยดหมึกเล็กๆ ที่เคลื่อนไหวไปมาและมีชื่อเป็นตัวอักษรเล็กๆ เขียนกำกับไว้


เทคโนโลยีการติดตามและระบุตำแหน่งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ในปัจจุบันได้ก้าวหน้าไปมาก หลายคนคงเริ่มพอจะคุ้นหูกับคำว่า GPS มากขึ้นแล้ว ระบบล่าสุดที่กำลังศึกษาอยู่และจะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับแผนที่ตัวกวนมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ระบบของบริษัทอังกฤษแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Cambridge Positioning Systems หรือ CPS

ในระบบแบบ CPS จะสามารถให้รายละเอียดของตำแหน่งได้แม่นยำและใกล้เคียงความจริงมากคือสามารถให้ รายละเอียดข้อมูลที่ต้องการสำหรับลูกค้า โดยกินอาณาบริเวณแคบลงได้มากถึงเพียง 50 เมตรรอบตัวของลูกค้าได้

จาก http://news.clipmass.com/story/วิทยาศาสตร์-กับ-แฮรี่พอตเตอร์---3027

วิทยาศาสตร์กับน้ำ


วิทยาศาสตร์กับน้ำ - ดูคลิปทั้งหมด คลิกที่นี่