วิทยาศาสตร์น่ารู้
ติดต่อข่าวสารอัพเดตแวดวงวิทยาศาสตร์ได้ที่นี่นะครับ ^^
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554
หตุการณ์ หลุมดำ กลืนกิน ดาว ที่ตรวจพบครั้งแรกของโลก (black hole swallowed a star)
ภาพที่เห็นนี้นับเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ ของ วงการดาราศาสตร์ เมื่อมีการตรวจพบเหตุการณ์ ขณะที่ หลุมดำขนาดมหึมากำลังฉีกกินดวงดาว
ภาพที่เห็นจั่วหัวคือภาพเหตุการณ์ขณะที่หลุมดำกำลังกลืนกินดาว ที่วาดขึ้นโดยจิตรกร ซึ่งเหตุการณ์สุดยากยิ่งที่จะเกิดซักครั้งหนึ่ง เมื่อหลุมดำซึ่งเป็น 1 ในพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ได้บดขยี้ดวงดาวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วดูดกลืนหมุนวนเข้าสู่ศูนย์กลางของ หลุมดำ (แสงสีขาวที่มีลักษณะเป็นรูปวงเล็บปิดด้านขวามือ )
ส่วนสิ่งที่เห็นเป็น ธารสีขาว(เส้นตรง) นั้นคือ กระแสพลาสม่า(plasma) ที่ไหลทะลักออกจากกึ่งกลางของหลุมดำ ที่อยู่ห่างไกลจากโลกถึง 4 พันล้านปีแสง กระแสพลาสม่านี้เรียกว่า relativistic jets ที่อาจจะยาวได้ถึง 100 หรือ 1,000 ล้านปีแสงเลยก็ได้
โดยเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2011 กล้อง Swift Telescope ได้ตรวจจับการระเบิดอย่างฉับพลันของรังสี จากกลุ่มดาว constellation Draco ลำแสงนี้เสมือนข้อความที่ส่งไปยังเหล่านักดาราศาสตร์ทั้งโลก ให้หันไปจับจ้องว่าขณะกำลังเกิดเหตุกาณ์อะไรขึ้น ใน จักรวาล ณ จุดนั้น
โดยปกติ การระเบิดของรังสีขนาดใหญ่ในจักรวาล จะเกิดขึ้นครั้งเดียว อันเป็นผลมาจากดวงดาวเกิดการระเบิดเป็นซุปเปอร์โนว่า(supernova)
แต่สำหรับเหตุกาณ์นี้ เกิดมีการระเบิดของรังสี ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในวันถัดไป ณ ตำแหน่งเดิมซึ่งมันเป็นเหตุกาณ์ที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
เมื่อทำการติดตามไปยังแหล่งของการระเบิดก็พบว่า ณ ตำแหน่งนั้นเป็นที่ตั้งของ หลุมดำ
นาย Ashley Zauderer ซึ่งเป็นนักดาราศาสตร์ ของ Harvard-Smithsonian Center for Astrophysics จึงได้หลักฐานที่มีน้ำหนักในการสร้าง ทฤษฎี ว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดจาก การที่ดวงดาวที่มีขนาดเท่าดวงอาทิตย์ของเราโคจรเข้าไปไกลหลุมดำขนาดใหญ่ ที่มีแรงดึงดูดมหาศาล เป็นเหตุให้ส่วนที่อยู่ใกล้หลุมดำถูกดึงยึดเข้าสู่หลุมดำ เมื่อถึงมาถึงวาระสุดท้าย แรงดึงดูดจากฉีกดาวออกเป็นชิ้นๆ(ดาวแตกดับเกิดเป็นการระเบิดซุปเปอร์โนว่า การระเบิดครั้งที่ 1) ก่อตัวเป็นก้อนพลาสม่าไหลเข้าสู่หลุมดำ แต่ในขบวนการนี้ พลาสม่าบางส่วนจะถูกพ่นออกมาเป็น relativistic jets และ relativistic jets ที่ถูกพ่นออกมานี้เอง ที่กล้องตรวจจับได้เป็นการระเบิดครั้งที่ 2
เมื่อ หลุมดำกลืนกินดาวงดาวเข้าไป มันจะยิ่งทรงพลัง เนื่องจากดวงดาวได้เข้าไปเพื่มมวลของหลุมดำให้ยิ่งมากขึ้น(ยิ่งวัตถุยิ่งมีมวลมากเท่าไรจะยิ่งมีแรงดึงดูดมากขึ้นตามไปด้วย)
เหตุการณ์หลุมดำกลืนกิน ดวงดาว นั้นเกิดยากยิ่งคือมีโอกาสเกิดขึ้น 1 ครั้งในช่วงเวลา แสนล้านปี/ครั้งแกแล็คซี่
ข้อมูลอ้างอิง
http://www.latimes.com/news/science/la-sci-black-hole-20110825,0,7532003.story
http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-2029731/relativistic-jets-Moment-super-massive-blackhole-shreds-star-caught-camera.html
นักวิทยาศาสตร์ เผย โลกเคยมีดวงจันทร์ 2 ดวง
ภาพจำลองขณะดวงจันทร์ดวงเล็กปะทะชนดวงจันทร์ดวงใหญ่
ภาพแสดงการค่อย ๆ ปะทะและหลอมรวมกันของดวงจันทร์
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์เดลิเมล ของอังกฤษ รายงานว่า นักวิทยาศาสตร์เผยในอดีตโลกเคยมีดวงจันทร์บริวาร 2 ดวง ก่อนที่จะเกิดปรากฎการณ์ "Big Splat" ถูกดวงจันทร์ดวงปัจจุบันดูดเข้าไปรวมเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกัน
โดยทฤษฎีนี้ ถูกศึกษาและเปิดเผยโดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในเมืองซานตาครูส ระบุว่า เมื่อราว ๆ 4.4 พันล้านปีก่อน โลกของเราเคยมีดวงจันทร์เป็นบริวารถึง 2 ดวง คือ ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่เราเห็นในปัจจุบัน และดวงจันทร์ดวงเล็กอีกหนึ่งดวงที่โคจรรอบโลกในระยะห่างที่ไม่ไกลกันมากนัก แต่แล้วหลังจากผ่านไปอีกหลายล้านปี ดวงจันทร์ดวงเล็กที่มีขนาดเล็กกว่าก็ไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดของดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่า และน้ำหนักมากกว่า 25 เท่าได้ ดวงจันทร์ดวงเล็กจึงค่อย ๆ ถูกดูดเข้าหาดวงจันทร์ดวงใหญ่ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดดวงจันทร์ทั้งสองดวงก็ชนปะทะกันและค่อย ๆ หลอมรวมกลายเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวกันในที่สุด แต่มีลักษณะบิดเบี้ยว แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายล้านปี การหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์ก็ค่อย ๆ ทำให้รูปทรงของดวงจันทร์กลายเป็นทรงกลมขึ้นมาอีกครั้ง ดังที่เห็นในปัจจุบัน โดยการดึงดูดและหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เรียกว่า ทฤษฎี "Big Splat"
นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า โดยปกติแล้วคนบนโลกจะมองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวเท่านั้น เนื่องจากดวงจันทร์มีคาบการหมุนรอบตัวเองและคาบการหมุนรอบโลกที่เท่ากัน ทำให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลก คือ ด้านใกล้เท่านั้น ส่วนด้านไกลนั้น คนบนโลกไม่สามารถมองเห็นได้เลย แต่หลังจากที่มีการส่งยานออกไปสำรวจภูมิประเทศของดวงจันทร์ ทำให้พบว่าด้านใกล้และด้านไกลของดวงจันทร์มีภูมิประเทศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยด้านไกลของดวงจันทร์ที่เรามองไม่เห็นนั้น จะมีลักษณะเป็นที่ราบสูง และมีเปลือกหุ้มที่หนาแน่นมาก ซึ่งบริเวณนี้ก็คือบริเวณที่ดวงจันทร์ดวงเล็กถูกดูดเข้ามานั่นเอง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก redicecreations.com, redicecreations.com
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต
(การปลูกถ่ายไขกระดูก)
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับไขกระดูก
ไขกระดูกเป็นส่วนที่อยู่ตรงกลางของกระดูก มีลักษณะเป็นของเหลว และเป็นแหล่งกำเนิดของเม็ดเลือดชนิดต่างๆ ในไขกระดูกจะมีเซลล์เม็ดเลือดจำนวนมากหลายชนิด เซลล์ต้นกำเนิด(stem cell) เป็นเซลล์ที่มีความสามารถในการแบ่งตัวเป็นเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ได้แก่ เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกร็ดเลือด นอกจากนี้ เซลล์ต้นกำเนิดยังพบได้ในเลือดจากสายสะดือและในเลือดที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกาย
การปลูกถ่ายไขกระดูกแบ่งเป็น 2 แบบ
1. การปลูกถ่ายไขกระดูกโดยใช้ไขกระดูกของตนเอง (Autologous Bone Marrow Transplantation)ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งชนิดร้ายแรง หรือดื้อต่อการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยวิธีนี้ หลักการของการรักษาคือ การให้ยาเคมีบำบัดในขนาดสูงแก่ผู้ป่วย แล้วตามด้วยการให้เซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งอาจนำมาจากไขกระดูกของผู้ป่วยเอง หรือในปัจจุบันเรามักจะเลือกใช้การเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะได้รับยากระตุ้นให้เซลล์ต้นกำเนิดออกมาในกระแสโลหิตประมาณ 4 – 5 วัน หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับการใส่สายสวนหลอดเลือดดำขนาดใหญ่ เพื่อนำเลือดของผู้ป่วยผ่านเข้าเครื่อง และแยกเอาเฉพาะเซลล์ต้นกำเนิด และเม็ดเลือดขาวออกมา เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดก็จะคืนให้แก่ผู้ป่วย การนำเซลล์ต้นกำเนิดกลับให้ผู้ป่วยจะทำให้เม็ดเลือดของผู้ป่วยกลับคืนสู่ ปกติโดยเร็ว การรักษาด้วยวิธีนี้จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนหลังการได้รับยาเคมีบำบัดขนาดสูง เช่น การติดเชื้อ และการมีแผลในปาก
2. การปลูกถ่ายไขกระดูกโดยใช้ไข กระดูกของผู้อื่น (Allogeneic Bone Marrow Transplantation) เนื่องจากไขกระดูก หรือเซลล์ต้นกำเนิดของผู้อื่นถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม ร่างกายจะต้องกำจัด ดังนั้นก่อนที่จะให้ไขกระดูกของผู้อื่น จึงต้องมีการเตรียมผู้ป่วยโดยการให้ยาเคมียำยัด การฉายแสงหรือ สองอย่างรวมกัน (preparative regimen) วิธีการนี้จะทำลายเซลล์ในไขกระดูกของผู้ป่วยและกดภาวะภูมิคุ้มกันด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกของผู้อื่น นอกจากนี้วิธีการนี้ยังทำลายเซลล์มะเร็งที่หลงเหลืออยู่ก่อนทำการปลูกถ่ายไข กระดูก ในผู้ป่วยโรคมะเร็งอีกด้วย หลังจากนั้นผู้ป่วยจะได้รับไขกระดูกจากผู้รับบริจาคโดยทั่วไปสิ่งที่จะบอกว่าผู้ป่วยยอมรับเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค และเซลล์ต้นกำเนิดของผู้บริจาคเริ่มทำงานได้เต็มที่ คือการที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เมื่อเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิล(neutrophil) เพิ่มขึ้นเกิน 500 ไมโครลิตร เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน เราเรียกว่าผู้ป่วยยอมรับเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค (engraftment) หลังจากนั้นเซลล์ต้นกำเนิดจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิดที่สมบูรณ์แข็งแรง ต่อไป ผู้ป่วยอาจต้องได้รับเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดเสริมต่อไปอีกระยะจนกระทั่งเซลล์ต้นกำเนิดของผู้บริจาคทำงาน ได้เต็มที่ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะค่อยๆกลับคืนสู่สภาวะปกติ ซึ่งอาจใช้เวลา 6 เดือน – 1 ปี หลังจากการปลูกถ่ายไขกระดูก
Credit : http://www.facebook.com/note.php?note_id=130482980305635
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554
ตู้เย็นคนยาก ประหยัดด้วยหลักฟิสิกส์
Mohammed Bah Abba คุณครูสอนวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งในไนจีเรีย แอฟริกาได้รับรางวัลนวัตกรรมโลว์เทค จากโรเล็กซ์ จากผลงาน pot-in-pot ในที่นี้ขอเรียกว่าตู้เย็นคนยาก สาเหตุมาจากการที่นักเรียนขาดเรียนบ่อยๆ เพื่อไปช่วยพ่อแม่ขายผลิตผลจากพืชในตลาดให้ทัน ก่อนที่ผลไม้สุกที่ตัดแล้ว จะเน่าเสียตามสภาพภูมิอากาศร้อน
ตู้เย็นของคุณครูทำจากตุ่มดินเผาสองใบ ใบใหญ่ใส่ทรายรองก้น วางตุ่มใบเล็กลงไปในใบใหญ่ ใส่ทรายในช่องว่างระหว่างตุ่มสองใบ จากนั้นเทน้ำลงไปในทรายให้ทรายชุ่มน้ำ แล้วนำผ้าชุบน้ำมาปิดฝาตุ่ม ก็จะได้ตู้เย็นคนยาก สามารถเก็บผักผลไม้ได้นานกว่าเดิม ด้วยการเก็บลงไปในตุ่มใบเล็ก ซึ่งสามารถเก็บได้นานกว่า 4 สัปดาห์
จาก การที่ทรายทำหน้าที่เก็บความเย็นให้ตุ่มใบเล็ก และเก็บน้ำให้ตุ่มใบใหญ่ เมื่อน้ำระเหยออกจากผิวของตุ่มใบใหญ่ จะนำพาความร้อนออกไป และทำให้อุณหภูมิของตุ่มใบเล็กเย็นระดับน้องๆ ตู้เย็นเลยทีเดียว ใช้หลักฟิสิกส์เรื่องความร้อนแฝงของการเปลี่ยนเฟสจากของเหลวเป็นไอ ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างยอดเยี่ยม
ที่มา : เรื่อง ตู้เย็นคนยาก โดย ดร. พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ หนังสือ วิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ สามารถชุบชีวิตได้แล้ว
ตายแล้วไม่ต้องไปไหน...เดี๋ยวก็ได้ฟื้นมาใหม่ เมื่อนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯ สามารถชุบชีวิต "หมาน้อย" ที่ขาดใจไปแล้วให้กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์จนเป็นผล สำเร็จ คาดปีหน้าได้ทดลองใช้กับคน
นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์การวิจัย กู้ชีพซาฟาร์ แห่งมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh's Safar Centre for Resuscitation Research) สหรัฐฯ ได้พัฒนาเทคนิคการถ่ายเลือดและเติมสารละลายน้ำเกลือที่เป็นน้ำแข็งและเย็นยะ เยือกลงไปในเส้นเลือดดำ เพื่อรักษาสภาพและฟื้นชีวิตที่ตายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนมาใหม่ได้เป็นผล สำเร็จ
การชุบชีวิตครั้งแรกได้ทดสอบกับ "สุนัข" จำนวนหนึ่งซึ่งตายแล้วตามนิยามทางการแพทย์ คือหยุดหายใจและหัวใจไม่เต้นหรือไม่มีกิจกรรมใดๆ เกิดขึ้นในสมอง แต่ว่าอีก 3 ชั่วโมงต่อมาเลือดของหมาที่สิ้นใจก็ถูกแทนที่ด้วยน้ำเกลือ และบรรดาหมาๆ ก็ฟื้นคืนชีพมาเป็น "หมาซอมบี้" หลังจากถูกช็อตด้วยไฟฟ้า
ระหว่าง กระบวนการแทนที่เลือดด้วยน้ำเกลือ ณ อุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์องศา อุณหภูมิร่างกายของสุนัขจะตกลงมาเหลือแค่เพียง 7 องศาเซลเซียส จากอุณหภูมิร่างกายปกติ 37 องศา รวมถึงมีภาวะตัวเย็นเกินก่อนตาย และแม้ว่าหมาน้อยเหล่านี้จะตายแล้วในทางการแพทย์แต่เนื้อเยื่อและอวัยวะ ต่างๆ ยังอยู่ในสภาพดี
เส้นเลือดต่างๆ และเนื้อเยื่อที่เสียหายสามารถซ่อมแซมได้ด้วยการศัลยกรรม เหล่าน้องหมามีชีวิตกลับมาอีกรอบหนึ่ง เพราะเลือดกลับคืนสู่ร่างกาย และได้ออกซิเจนเต็มที่ 100% แถมยังมีการกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้าประหนึ่งเหมือนการรีสตาร์ทการทำงานของ หัวใจอีกครั้ง อีกทั้งเมื่อตรวจสอบสภาพร่างกายของ "หมาซอมบี้" แล้วก็กลับสู่สภาพเดิมอย่างปกติ และไม่มีสมองส่วนใดถูกทำลาย
ด้วย ความหวังว่าแทนที่จะปล่อยให้คนป่วยหลับไปเป็นปีๆ หรือตายจากไป การส่งให้พวกเขากลับมามีชีวิตอยู่นั้นนับเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่มี ประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง โดยนักวิทยาศาสตร์พยายามทำให้ผู้ป่วยกลับฟื้นชีวิตได้ อย่างน้อยเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็มากพอสำหรับการรักษาชีวิตผู้บาดเจ็บจากสงคราม หรือเหยื่อที่ถูกแทง ถูกยิง เพราะพวกเขาจะเจ็บปวดและขาดใจจากการเสียเลือดมาก
ผลที่ได้ทำ ให้ทางศูนย์มีแผนจะนำเทคนิคนี้ไปทดสอบใช้ในมนุษย์ภายในปีหน้า อีกทั้งเชื่อว่าภายใน 10 ปีจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ขัดขวาง "การตาย" ของมนุษย์ได้ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิรบ
ปล. จะชุบชีวิตอะไรยังไงต้องดูจากสภาพศพด้วยนะเออ
แก้ปัญหาโลกแตกได้แล้ว
นักวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาโลกแตกได้แล้ว ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?
เคย นึกไหมว่าไก่กับไขอะไรเกิดก่อนกัน พอคิดไปคิดมาก็ได้คำตอบวนๆถ้าไก่ไม่เกิดก่อนก็จะไม่มีไข่ แต่ถ้าไม่มีไข่ไก่ก็จะเกิดมาไม่ได้ แต่วันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คำตอบนั้นแล้ว
Dr. Colin Freeman จาก Sheffield University ได้ทำการวิจัยอย่างหนักกับนักศึกษา Warwick University เพื่อหาคำตอบผลปรากฎว่า
"นานแล้วที่เราคาดว่าไข่น่าจะมาก่อนไก่แต่บัดนี้เราได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์อล้วว่าไก่นั้นมาก่อน" เขากล่าวข้อ พิสูจน์นี้พิสูจน์ได้จากสารโปรตีนชนิดหนึ่งนั้นคือ Ovocledidin-17 (OC-17) ที่พบได้ในรังไขของไก่ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ใช้ในการกำหนดรูปแบบการผลิตเปลือกของไข่นั้นเอง
OC-17จะ เปลี่ยนแคลเซียมคาร์บอนเน็ตให้เป็นแคลไซต์คริสตอลซึ่งจะเปลี่ยนเป็นไข่ในภาย หลัง ซึ่งหากไม่มี OC-17 ก็จะไม่มีไข่ ซึ่งOC-17 จะมาจากรังไข่ของไก่เท่านั้น แปลว่า ไก่ต้องเกิดก่อนไข่
วิทยาศาสตร์กับการบินและนักบินรู้เส้นทางได้อย่างไร
เครื่องบินเป็นพาหนะที่ใช้เดินทางทางอากาศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง และช่วยย่นระยะทางในการเดินทางติดต่อไปมาระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่ถ้าย้อนกลับไปถามคำถามที่ว่าเพราะเหตูใดเครื่องบินถึงบินได้ และนักบินทราบเส้นทางการบินได้อย่างไร คิดว่าทุกคนคงอยากจะทราบคำตอบของคำถามที่ถามเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด คุณจีรศักดิ์ นาคสีรุ่ง ผู้จัดการฝ่ายการฝึกบิน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด กล่าวว่า การลอยตัวของเครื่องบินนั้นสามารถอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ดังนี้
ทฤษฏีที่1 ความเร็วบริเวณเหนือปีกด้านบน โดยทดลองนำกระดาษทิชชูมาเป่า ผลที่เกิดขึ้นคือ กระดาษทิชชูจะลอยขึ้น เพราะด้านบนมีแรงดันน้อยกว่าแรงดันด้านล่างจึงทำให้กระดาษทิชชูลอยขึ้นมา สาเหตุที่อากาศด้านบนเบากว่าเนื่องจากมีความเร็วของอากาศด้านบนมากกว่าความ
เร็วของอากาศด้านล่าง ซึ่งถูกนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องของการบิน
ทฤษฏีที่2 คือการเปิดมุมปะทะของปีกเครื่องบิน โดยทดลองยื่นมือออกนอกรถในขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็ว เราจะมีความรู้เกิดแรงยกของอากาศจะยกฝ่ามือเราให้ยกตัวสูงขึ้น
ทฤษฏีที่3 คือเกิดจากแรงขับของเครื่องบินโดยตรง เช่น ในการปล่อยจรวดต้องใช้แรงขับจากจรวดโดยตรง และในกรณีของการปล่อยบอลลูน เนื่องจากอากาศที่อยู่ในบอลลูนเบากว่าอากาศที่อยู่นอกบอลลูนจึงทำให้เกิดแรง ยกบอลลูนขึ้น
ส่วนคำถามที่ว่านักบินทราบเส้นทางการบินได้อย่างไรนั้น คุณจีรศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมว่า ถ้าจะเดินทางไปเชียงใหม่นักบินจะต้องรู้ว่าเชียงใหม่อยู่ทางทิศใดของประเทศ ไทย เพราะฉะนั้นการเดินทางไปเชียงใหม่นักบินจะต้องควบคุมเครื่องบินไปด้านทิศ เหนือคล้อยไปทางด้านทิศตะวันตก
เล็กน้อย นี่คือหลักเบื้อนต้น สำหรับเครื่องมือสมัยใหม่จะใช้เส้นทางการบินที่เป็นเส้นตรงเพื่อย่นระยะเวลา ในการเดินทาง และได้ระยะทางที่สั้นที่สุด ในแผนที่การบินจะระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่านักบินจะต้องถือทิศทางที่เท่าไร เช่น ถือทิศทาง 342 องศาเพื่อจะได้เดินทางไปเชียงใหม่เป็นเส้นตรง ซึ่งทิศทางในการบินจะใช้เข็มทิศเป็นหลัก แต่ก็ยังอาจจะไม่ถูกต้องเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงมีการคิดค้นเครื่องมือสำหรับช่วยในการเดินทาง ทางอากาศขึ้นมา เปรียบได้กับสถานีวิทยุและจะกำหนดคลื่นความถี่ซึ่งเป็นความถี่ที่ตั้งไว้ เรียบร้อยแล้ว เช่น ตั้งความถี่ไว้ที่ จ.เชี่ยงใหม่ นักบินก็บินให้ตรงกับหัวเข็มทิศ ซึ่งจะทำให้สามารถทราบระยะทางในการบินได้และรับประกันได้ว่าการเดินทางไป เชียงใหม่นั้นถูกต้องแม่นยำแน่นอน
TIPS
สมัย รัชกาลที่ 7 ถือเป็นยุคหนึ่งที่การบินของไทยพัฒนาไปได้มากที่สุด เพราะในขณะนั้น ไทยเป็นชาติแรกในเอเชียที่สามารถสร้างเครื่องบินและสามารถทำการบินได้ และในช่วงสงครามโลก ครั้งที่หนึ่ง ไทยก็มีกองกำลังเครื่องบินรบ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีเพียงแค่เหล่าทหารราบ
ทหารปืนใหญ๋ และทหารม้าเท่านั้น ทำให้ต่างชาติเห็นว่าเราเป็นผู้เจริญไม่กล้าเข้ามารุกราน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : วิทยาศาสตร์รอบตัว(จาก สสวท.)
Credit : http://campus.sanook.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)